โลกเปลี่ยน แต่องค์การระหว่างประเทศยังหยุดนิ่ง: การผงาดของตะวันออกและสมดุลอำนาจใหม่ โดย คิชอร์ มาห์บูบานี (Kishore Mahbubani)
- klangpanyath
- 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- ยาว 2 นาที

ผู้เขียนบทความ : ณัฐธิดา เย็นบำรุง
ผู้เขียนมีโอกาสได้ฟังการบรรยายพิเศษของ ศาสตราจารย์คิชอร์ มาห์บูบานี (Kishore Mahbubani) ในหัวข้อ “A Declining West, a Rising East: How Will the World Achieve a New Balance?” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ Fullerton Forum Lecture Series โดยศูนย์ China and the World (CCCW) มหาวิทยาลัยฮ่องกง ร่วมกับมูลนิธิ Ng Teng Fong และ Sino Group เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2025 ผ่าน Youtube https://www.youtube.com/watch?v=0HsAtrd8bNE
คิชอร์ มาห์บูบานี ถือเป็นนักคิดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทรงอิทธิพลของเอเชีย เขาเป็นอดีตเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำสหประชาชาติ เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นคณบดีผู้ก่อตั้งของ Lee Kuan Yew School of Public Policy มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ผลงานและมุมมองของเขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ
ในการบรรยายครั้งนี้ เขาได้ชี้ให้เห็นแนวโน้มสำคัญของศตวรรษที่ 21 ว่า โลกตะวันตกกำลังค่อยๆ เสื่อมถอย ขณะที่โลกตะวันออกกำลังผงาดขึ้นมาแทนที่ แม้ตะวันตกยังคงมีจุดแข็งอยู่ แต่สัดส่วนอำนาจและอิทธิพลในระบบโลกกำลังเคลื่อนย้ายไปสู่เอเชียอย่างชัดเจน เขาเรียกร้องให้เกิด ความร่วมมือระหว่างตะวันออกและตะวันตก เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ครอบคลุมและมีส่วนร่วมมากขึ้น จึงอยากถ่ายทอดประเด็นหลักที่น่าสนใจเหล่านี้ต่อให้กับผู้อ่าน ใจความสำคัญของ คิชอร์ มีดังต่อไปนี้
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง จนถึงปัจจุบัน เวลาก็ล่วงเลยมากว่า 80 ปีแล้ว ใน ค.ศ. 2025 หากเรามองย้อนกลับไป จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาดังกล่าว มนุษยชาติมีความพยายามสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมขึ้นมา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (East Asia) ที่มีพัฒนาการอย่างชัดเจนและก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ระเบียบโลกในปัจจุบันกลับเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและการต่อสู้เชิงอำนาจที่น่ากังวล และในวันนี้ อยากชวนคิดใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน คิชอร์ได้ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเคลื่อนย้ายอำนาจจาก “ตะวันตก” มาสู่ “ตะวันออก” ผ่าน 3 กรณี
สหภาพยุโรปกับจีน
เมื่อ ค.ศ. 1980 เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปมีขนาดใหญ่กว่าจีนถึง 10 เท่า แต่ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกันแล้ว และใน ค.ศ. 2050 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะเล็กกว่าจีนเพียงครึ่งเดียว นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติในรอบ 70 ปี และเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
อังกฤษกับอินเดีย
เมื่อราว 100 ปีก่อน กองทัพอังกฤษเพียงแค่ 100,000 นาย ก็สามารถปกครองอินเดียที่มีประชากรกว่า 300 ล้านคนได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งในค.ศ. 1990 ขนาดเศรษฐกิจของอังกฤษยังคงใหญ่กว่าอินเดียถึง 4 เท่า แต่เมื่อปีที่แล้ว (ค.ศ. 2024) อินเดียได้แซงหน้าอังกฤษไปแล้ว และใน ค.ศ. 2050 คาดว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะมีขนาดใหญ่กว่าอังกฤษถึง 4 เท่า
เยอรมนีกับอาเซียน
ในช่วง ค.ศ. 2000 เศรษฐกิจของเยอรมนีมีขนาดใหญ่กว่าอาเซียนถึง 3 เท่า แต่เมื่อปีที่แล้ว (ค.ศ. 2024) เศรษฐกิจของอาเซียนได้ขยับขึ้นมาเทียบเท่ากับเยอรมนีแล้วเช่นกัน และใน ค.ศ. 2050 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะเล็กกว่าอาเซียนครึ่งหนึ่ง
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอำนาจในโลก เมื่อโครงสร้างอำนาจโลกกำลังปรับตัว สิ่งที่ควรทำอย่างสมเหตุสมผลก็คือ การปรับระเบียบโลกใหม่ และให้องค์กรระหว่างประเทศปรับตัวเพื่อรองรับความเป็นจริงที่เปลี่ยนไป ทว่าในความเป็นจริง องค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญๆ กลับไม่เคยปรับตัวเลย และนี่เป็นปัญหาใหญ่ที่เรากำลังเผชิญอยู่
2. แรงต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงอำนาจโลก
แม้ว่าโครงสร้างอำนาจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แต่อุปสรรคสำคัญที่เกิดขึ้นคือ แรงต้านทานเชิงลึก ที่ไม่ยอมให้การปรับตัวเกิดขึ้นจริง สิ่งที่ควรทำคือการสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” เพื่อรองรับระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป มากกว่าที่จะหมกมุ่นอยู่กับปัญหาระยะสั้น เช่น นโยบายการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ สิ่งที่ควรให้ความสำคัญจริงๆ คือโครงสร้างใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ เนื่องจากอำนาจโลกกำลังเคลื่อนย้ายออกจากยุโรปซึ่งเคยเป็นผู้ดูแลและควบคุมองค์กรระหว่างประเทศมาโดยตลอด แต่การปรับเปลี่ยนกลับถูกต้านเอาไว้อย่างแข็งแรง
ตามหลักการแล้ว ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดและมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากที่สุด ย่อมจะได้รับบทบาทสำคัญที่สุดในองค์กรระหว่างประเทศ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งถือเป็นองค์กรด้านเศรษฐกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก หากเข้าไปดูในเว็บไซต์ของ IMF จะระบุชัดเจนว่า อำนาจการโหวต (voting power) และการตัดสินใจของสมาชิกใน IMF ต้องสะท้อนถึงสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก หมายความว่า ขนาดเศรษฐกิจควรสัมพันธ์กับอำนาจการโหวต
แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่าง ยุโรปกับจีน ซึ่งต่างฝ่ายมี GNP คิดเป็นสัดส่วน 17% ของเศรษฐกิจโลกเหมือนกัน แต่ยุโรปกลับได้สิทธิ์โหวตถึง 26% ขณะที่จีนได้เพียง 6% แทนที่จะเป็น 17% อย่างที่ควรจะเป็น เรื่องนี้สะท้อนว่าการปรับเปลี่ยนไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพราะยุโรปต่อสู้เต็มที่เพื่อรักษาอำนาจของตน และสามารถทำสำเร็จ สิ่งนี้จึงกลายเป็น “รากฐานของปัญหาความชอบธรรมของ IMF” ที่ฝังลึกและยาวนาน
หาก IMF คือองค์กรด้านเศรษฐกิจที่ทรงพลังที่สุดของโลกแล้ว องค์การสหประชาชาติ (UN) ก็ถือเป็นองค์กรด้านความมั่นคงที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจและบังคับใช้มติไปยังประเทศสมาชิก UN ทั้งหมด คณะมนตรีความมั่นคงมีสมาชิก 15 ประเทศ โดยแบ่งเป็นสมาชิกถาวร 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งมีสิทธิ์ “วีโต้” และอีก 10 ประเทศเป็นสมาชิกหมุนเวียน ผมเคยเป็นตัวแทนของสิงคโปร์ที่ได้ทำงานใน UNSC เป็นเวลา 2 ปี จึงยืนยันได้ว่า ในความจริงแล้ว “สมาชิกที่แท้จริง” มีเพียง 5 ประเทศถาวร ส่วนอีก 10 ประเทศนั้นแทบจะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ (observer) เท่านั้น
สิงคโปร์เองก็เคยพยายามเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานบ้าง แต่กลับได้รับคำพูดเชิงประชดจากฝรั่งเศสว่า“ทำไมนักท่องเที่ยวถึงมาพยายามเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ในห้องนั่งเล่นของเราล่ะ” นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นใน UNSC ว่าอำนาจจริงยังคงผูกขาดอยู่กับ 5 ประเทศถาวร ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกจริงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ใน ค.ศ. 2025 เศรษฐกิจของอังกฤษและฝรั่งเศสกลับหดตัวลงแล้วเกือบหมด ทว่าทั้งสองประเทศยังคงครองเก้าอี้ถาวรในสภาความมั่นคงอยู่ต่อไป นี่คือตัวอย่างของ แรงต้านการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะจากฝั่งยุโรป แม้ภายนอกจะพูดถึงความจำเป็นของการปรับปรุงโครงสร้างอำนาจเสมอ แต่ความจริงคือยังคงรักษาสถานะเดิมของตนอย่างเหนียวแน่น
ขอกล่าวถึงอังกฤษอีกที อันที่จริง วันนี้อังกฤษเป็นเพียง “ตัวแทนของอดีต” ส่วนอินเดียต่างหากที่เป็น “ตัวแทนของอนาคต” อดีตควรเปิดทางให้คนที่เป็น “อนาคต” เข้ามามีบทบาท แต่แม้อังกฤษจะหดตัวลงในทุกมิติ ก็ยังคงรักษาสิทธิ์สมาชิกถาวรของ UNSC ได้ต่อไป ทำไมถึงไม่เปิดทางให้ประเทศที่กำลังเป็นอนาคตของโลก เช่น อินเดีย ได้เข้ามามีที่นั่งแทน?
3. การชักจูงให้ยุโรปเปิดทางสู่การเปลี่ยนแปลง
สิ่งสำคัญที่ควรทำในวันนี้คือ ชักจูงให้ยุโรปสร้างทางให้กับผู้อื่น เพื่อเปิดกุญแจการปรับปรุงองค์กรระหว่างประเทศให้สะท้อนโลกที่แท้จริงมากขึ้น
หากมองตามความเป็นจริง ตัวเลขประชากรของโลกในปัจจุบันมีอยู่ราว 8 พันล้านคน แต่มีเพียง 12% เท่านั้นที่อาศัยอยู่ใน “ตะวันตก” ขณะที่อีกกว่า 88% อยู่ใน “ตะวันออก” หากเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีประชากรเพียง 12% ของโลก แน่นอนว่าผลประโยชน์ของคุณจึงเป็นเพียงส่วนเล็ก แต่คุณก็ย่อมต้องการให้หมู่บ้านเล็กๆ ของคุณมีความมั่นคง มีเสถียรภาพ และไปจนถึงการหวังจะดูแลหมู่บ้านอื่นๆ ในโลกให้ปลอดภัยด้วย
ปัญหาคือ ตะวันตกเองชอบบอกโลกว่าหากต้องการสภาหมู่บ้านที่ดี ต้องสร้างระบบประชาธิปไตย ให้ทุกคนมีสิทธิ์ออกเสียงและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพราะประชาธิปไตยคือเส้นทางที่จะทำให้สังคมก้าวหน้าและสงบสุข แต่เมื่อมาถึงประชาธิปไตยในระดับโลก กลับไม่ยอมใช้หลักการเดียวกัน มันไม่เคยมีประชาธิปไตยในระดับโลก สิ่งที่เกิดขึ้น คือ “คุณอย่าพูดเรื่องประชาธิปไตย อย่าพูดเรื่องการแบ่งอำนาจ” ทั้งที่วันนี้ทั้งสัดส่วนประชากรและสัดส่วนเศรษฐกิจของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว สิ่งนี้คือความขัดแย้งที่ชัดเจนที่สุด เพราะสภาของหมู่บ้านโลกไม่ได้สะท้อนเสียงส่วนใหญ่ของประชากรโลกเลย ตะวันตกยังคงต้องการรักษาเก้าอี้ที่มีสิทธิพิเศษไว้เสมอ แม้โลกจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ตาม
ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือ สร้างพลังอำนาจใหม่ เปิดพื้นที่ให้พลังอำนาจใหม่ และทำงานร่วมกัน ตะวันตกควรยอมรับการเปลี่ยนแปลง และปรับตัวเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่อย่างแท้จริง เพราะโลกกำลังเผชิญความท้าทายข้ามพรมแดน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การกำกับดูแลเทคโนโลยี และการจัดการด้านการเงินเพื่อการพัฒนา สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายที่ตะวันตกและตะวันออกควรรับมือด้วยกัน
นี่คือใจความสำคัญในการพูดของคิชอร์ มาห์บูบานี ไม่เพียงชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอำนาจโลก ระเบียบโลกใหม่ และแรงต้านทานที่ฝังรากลึกในเวทีระหว่างประเทศ ล้วนเป็นข้อคิดสำคัญที่สะท้อนว่า การเมืองโลกต้องการ “การปรับตัว” มากกว่าการ “ยึดที่มั่น” หากเรายอมรับความจริงนี้ โลกก็จะสามารถเดินไปสู่ความร่วมมือ ความสมดุลได้
ผู้เขียนมองว่าสาระสำคัญของคิชอร์ เป็นกระจกสะท้อนให้ประเทศไทยต้องตระหนักถึงบริบทโลกที่เปลี่ยนไปด้วย เราในฐานะประเทศขนาดกลาง อาจไม่ใช่ผู้เล่นที่แย่งชิงตำแหน่งนำในระบบโลก แต่ก็ไม่อาจยืนอยู่เฉย ๆ ได้เช่นกัน การเข้าใจสถานะและศักยภาพของตนเองคือจุดตั้งต้นสำคัญ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การต่างประเทศที่เหมาะสม
ไทยไม่จำเป็นต้องเป็น “ผู้ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านโลก” อันที่จริง ไทยเองไม่สามารถเป็นได้ด้วยสถานะประเทศที่มีขนาดกลาง แต่ไทยสามารถมีบทบาทที่สร้างสรรค์และสมดุลได้ หากรู้จักประสานประโยชน์ระหว่างอำนาจเดิมและอำนาจใหม่ ทั้งตะวันตกและตะวันออก เพราะทั้งสองฝั่งต่างมีความสำคัญต่อการพัฒนาและความมั่นคงของเรา การทูตไทยจึงควรวางยุทธศาสตร์ที่ยืดหยุ่น รอบคอบ และมองไกล เพื่อให้ประเทศไทยเก็บเกี่ยวประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงของอำนาจโลกในศตวรรษใหม่นี้
ความคิดเห็น