top of page

"การศึกษาที่นำสู่การสร้างปัญญา" โดย ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช

อัปเดตเมื่อ 11 เม.ย. 2565



กระทรวง อว. และภาคี ร่วมกันจัดเวที สร้างการเรียนรู้ของนักวิชาการ เพื่อการพัฒนาชีวิตและปัญญา และเชิญผมไปร่วมให้ข้อคิดเห็นจากประสบการณ์ เรื่อง ประสบการณ์กับการศึกษาที่นำไปสู่การสร้างปัญญา ให้แก่อาจารย์จาก มรภ. และ มทร. จำนวนประมาณ 20 - 30 คน ในวันที่ 24 มีนาคม 2565 โดยช่วงเวลาที่ผมแลกเปลี่ยน 45 นาที


ผมคิดว่าควรเริ่มจากการศึกษาที่ไม่นำสู่การสร้างปัญญา ขอเสนอว่าได้แก่ การศึกษาที่

  • เน้นให้ท่องจำ เพื่อตอบข้อสอบ และข้อสอบเน้นถามความจริงแบบถูกผิด หรือเลือกคำตอบที่มีให้

  • ครูอาจารย์สอนสาระ ให้เรียนทฤษฎีที่ชัดเจนตายตัว ให้นักเรียนเชื่อ ยึดมั่นเป็นคัมภีร์ตายตัว

  • เน้นการเรียนในห้องเรียน และห้องทดลองเท่านั้น

  • สอนให้เชื่อ และทำตามรูปแบบหรือแนวทางที่กำหนด

  • อยู่ในบรรยากาศ หรือ ระบบนิเวศการเรียนรู้ (learning ecosystems) แบบผู้น้อยต้องคล้อยตามผู้ใหญ่ ต้องไม่แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ หรือผู้มีอำนาจเหนือ

  • เน้นเฉพาะด้านวิชาการ ไม่เอาใจใส่ด้านคุณลักษณะส่วนตัว ด้านความประพฤติ การอยู่ร่วมทำงานร่วมกับผู้อื่น ด้านคุณธรรมจริยธรรม จิตใจ และจิตวิญญาณ

  • เน้นเรียนแบบแข่งขันตัวใครตัวมัน

  • เน้นให้โจทย์ง่ายๆ เพื่อศิษย์ไม่เครียด

  • เน้นเฉพาะการเรียนในสถานศึกษา ไม่เอาใจใส่ให้คุณค่าการเรียนรู้นอกสถานศึกษา ที่เป็นการเรียนรู้ในชีวิตจริง

  • เน้นเฉพาะปัญญาภายนอก เน้นเรียนเชิงเทคนิคเท่านั้น ไม่เอาใจใส่ปัญญาเชิงสังคม และปัญญาภายใน

การศึกษาที่นำสู่การสร้างปัญญา ย่อมต้องตรงกันข้ามกับลักษณะข้างต้น ต้องฝ่าหรือเอาชนะความเคยชินเดิมๆ อธิบายเพิ่มเติมได้ว่า เป็นการศึกษาที่

  • พัฒนา 7 แกนพัฒนาตัวตน ที่เสนอโดย Chickering & Reisser (1993) (Chickering’s Seven Vectors of Identity Development) ซึ่งหมายความว่า การศึกษาต้องไปให้ถึงการพัฒนาด้านคุณค่าในตัวผู้เรียน คือเกิดปัญญาในระดับคุณค่า

  • เรียนผ่าน “วงจรเรียนรู้จากการปฏิบัติ” (Kolb’s Learning Cycle) เป็นหลัก ดูรูป เริ่มจากการตั้งเป้าว่าจะทำกิจกรรมเพื่อบรรลุผลอะไร เพื่อเรียนรู้อะไร แล้วลงมือทำ เป็นขั้นตอนที่ 1 ระหว่างลงมือทำ สังเกตและสะท้อนคิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้น หรือต่อประสบการณ์ที่ได้รับ เป็นขั้นตอนที่ 2 ตามด้วยการนำเอาข้อมูลจากประสบการณ์และการสะท้อนคิดมาตกผลึกเป็นหลักการ (conceptualization) หรือทฤษฎี (theory) เป็นขั้นตอนที่ 3 แล้วนำหลักการที่สรุปได้ไปทดลองใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ต่อไป หรือในสถานการณ์เดิมแต่ปรับให้ทำได้ง่ายขึ้น หรือเกิดผลดียิ่งขึ้น เป็นขั้นตอนที่ 4

ผมมีความเห็นว่า คนเราจะเรียนรู้สู่ปัญญาได้จริง ต้องกล้าสร้างทฤษฎีด้วยตัวเอง โดยสร้างจากการปฏิบัติ คือต้องมั่นใจตนเองในระดับที่กล้าสร้างทฤษฎีเอง แต่ก็ต้องถ่อมตัวโดยการนำทฤษฎีของตนไปเทียบกับทฤษฎีที่มีผู้ค้นพบมาก่อนแล้ว เพื่อทำความเข้าใจในมิติที่ลึกซึ้งเชื่อมโยงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรวจสอบทฤษฎีในระดับ generalization (ใช้ได้ทั่วไป) และระดับ contextualization (ใช้ได้ฉพาะบางบริบท) ในส่วนทฤษฎีจำเพาะบริบทนี่แหละเป็นอิสรภาพที่เราจะคิดโต้แย้งทฤษฎีของปราชญ์ใหญ่ของโลกได้

จะเห็นว่า “วงจรเรียนรู้จากการปฏิบัติ” คือเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิตนั่นเอง และสำหรับการเรียนรู้ภาคที่เป็นทางการ วงจรนี้จะมีพลังสูงกว่า หากทำในสถานการณ์จริง (real life experience) ไม่ใช่ทำในสถานการณ์สมมติภายในห้องเรียน หรือภายในสถาบัน

  • เชื่อมโยงความรู้ปฏิบัติ กับความรู้ทฤษฎี ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแห่งปัญญาระดับสูง ทำโดยปรับขั้นตอนที่ 4 ของ Kolb’s Learning Cycle ไปเป็นนำหลักการหรือทฤษฎีสร้างเองในขั้นตอนที่ 3 มาเปรียบเทียบกับความรู้ทฤษฎีที่มีอยู่แล้ว ตรวจสอบว่าส่วนใดสอดคล้องกัน มีส่วนใดแตกต่างกันบ้าง และส่วนที่แตกต่างเป็นความรู้ใหม่ที่มีความสำคัญเพียงใด หากมีความสำคัญจะได้ใช้เป็นโจทย์เพื่อเริ่มต้น Kolb’s Learning Cycle ใหม่

  • ในการทำงานใดๆ ก็ตาม ทำให้เป็นการหมุน “วงจรเรียนรู้สองวง” (double-loop learning) ไปพร้อมๆ กันกับการทำงาน คือให้ได้ผลของการทำงานสองต่อ คือได้ทั้งผลงาน และได้การเรียนรู้ และไม่ใช่การเรียนรู้แบบธรรมดาๆ ต้องได้การเรียนรู้แบบประเทืองปัญญา คือเกิดการตั้งคำถามต่อสมมติฐานหรือทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังงานนั้น

  • จัดกระบวนการเรียนรู้แบบ เรียนรู้เชิงรุก (active learning)

  • เน้นหนุนให้ผู้เรียนพัฒนาความสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์ (creativity & critical thinking) ใส่ตน เท่าๆ กับการเรียนสาระให้เกิดการพัฒนาสมรรถนะ (competencies) ทั้งสมรรถนะทั่วไป และสมรรถนะเฉพาะด้าน

  • มุ่งหนุนให้ผู้เรียนพัฒนา สมรรถนะแห่งอนาคต (future skills) ใส่ตน เรื่องนี้ได้อธิบายไว้ในการบรรยายแก่ผู้บริหารของ มศว. เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2564 ซึ่งเข้าไปชมได้ที่ (1) ท่านที่สนใจเรื่องอุดมศึกษาที่นำสู่ปัญญาควรเข้าไปชมอย่างยิ่ง จะคุ้มกับเวลา 3 ชั่วโมงเศษของท่าน

  • ตั้งโจทย์ท้าทาย คือใช้หลัก high expectation, high support เป็นการฝึกสมรรถนะ สู้สิ่งยาก ไม่ท้อถอยยอมแพ้ง่ายๆ ที่เรียกว่า perseverance ที่เมื่อรวมกับ passion ต่อเรื่องนั้น เรียกว่า grit ซึ่งในภาคไทยคืออิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) นั่นเอง ปัญญาด้านสู้สิ่งยาก เป็นสมรรถนะสำคัญยิ่งต่อชีวิตในอนาคต

  • ให้ความสำคัญต่อ ปัญญาปฏิบัติ (phronesis) มากพอๆ กับ หรือมากกว่า ปัญญาเชิงทฤษฎี (academic wisdom) ซึ่งหมายความว่า มีการพัฒนาสมรรถนะในการสร้างความรู้ความเข้าใจในมิติที่ลึกและเชื่อมโยง จากการทำงานหรือการใช้ชีวิต สมรรถนะนี้เรียกว่า การเรียนรู้ผ่านการสะท้อนคิด (reflective learning) โดยต้องมีทั้งสมรรถนะเรียนรู้จากการสะท้อนคิดคนเดียว และสะท้อนคิดเป็นกลุ่ม

  • ฝึกสะท้อนคิดทั้งเพื่อพัฒนาวิธีปฏิบัติ และเพื่อทำความเข้าใจความรู้ทฤษฎีในมิติที่ลึกและเชื่อมโยงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เกี่ยวกับบริบทของงานและชีวิตของตน และของผู้อื่น

  • มีบรรยากาศ หรือระบบนิเวศการเรียนรู้ ที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยต่อการแสดงข้อคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ถูกเยาะเย้ยว่าโง่หรือเพี้ยน ยิ่งได้รับความชื่นชมว่ากล้าคิดแหวกแนว ไม่คิดตามความเชื่อเดิมๆ เสมอไป และได้รับคำถามต่อเนื่องว่ามีหลักฐานสนับสนุนข้อคิดเห็นนั้นอย่างไรบ้าง ก็จะเป็นพื้นที่ส่งเสริมความสร้างสรรค์ ที่ต้องส่งเสริมการคิดฟุ้ง (divergent thinking) แล้วสานเสวนากันสู่การคิดสรุป (convergent thinking) ในภายหลัง โดยต้องเอื้อให้วงเสวนาอยู่กับความไม่ชัดเจน (ambiguity) นานเพียงพอ คือไม่ด่วนสรุป

  • ใช้พลังของความไม่ชัดเจน (ambiguity) เพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ และเรียนรู้ในมิติที่ลึกและเชื่อมโยง

สรุปสั้นที่สุด การศึกษาที่นำสู่การสร้างปัญญาคือการศึกษาในสภาพจริงของเรื่องราวต่างๆ ที่มีสภาพซับซ้อน (complexity) โดยมีทฤษฎีหรือหลักการช่วยเป็นกรอบการคิด แต่ต้องไม่ติดกรอบ ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับทฤษฎี กล้าเถียงทฤษฎี กล้าตั้งทฤษฎี (เล็ก) จากการปฏิบัติของเราเอง


การศึกษาเพื่อสร้างปัญญาเน้นฝึกตั้งคำถาม พอๆ กับฝึกหาคำตอบ


วิจารณ์ พานิช

17 มี.ค. 65


บทความนี้ เผยแพร่ครั้งแรกใน https://www.gotoknow.org/posts/699984


ดู 243 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page